หมอกจางๆและควัน
BROMO | KAWAH IJEN
ทริปภูเขา น้ำตก ภูเข๊า น้ำต๊ก #เสียงสูง
.
.
.
------- Route Cancellation
ก่อนอื่นเลย เราเป็นหนึ่งในคนที่จองตั๋วโปรของ AirAsia เมื่อต้นปี 2016 เลือกเดินทางช่วงมกรา 2017 จาก BKK- Surabaya และ Bali-BKK และเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2016 ได้รับอีเมลจาก AirAsia Indonesia ว่าไฟลท์ BKK-Surabaya ถูกยกเลิก!!!!
และน่าจะมีหลายคนโดนเหมือนกัน โดยทางสายการบินแจ้งว่าเส้นทางนี้จะบินถึงแค่เดือนกรกฎาคม 2016 เท่านั้นนะคะ ตึง! แพทจึงเกิดการเปลี่ยนไฟลท์กะทันหัน หาวันลากันแทบไม่ทัน จากที่เหลือเวลาเตรียมตัวล่วงหน้าเกือบ 1 ปี กลายเป็นเหลือเวลาจัดการทุกอย่างให้เสร็จภายใน 1 เดือน
โดยตัวเลือกที่ทาง AirAsia Indonesia เสนอให้ มีทั้งหมด3 ตัวเลือกได้แก่
1. Reschedule - เลื่อนไฟลท์มาเป็นภายในเดือน July 2016
2. Refund – คืนเงินให้เต็มจำนวนตามที่เราจ่ายไป
3. Credit Shell – เราสามารถใช้จำนวนเงินที่เราจ่ายไปเปลี่ยนเป็นเครดิตเอาไว้ใช้ซื้อบริการต่างๆกับทาง AirAsia เช่น การซื้อตั๋ว/เลือกที่นั่ง/อาหารและบริการเสริมอื่นๆสามารถใช้เครดิตนี้จ่ายแทนเงินสดได้ แต่มีอายุการใช้งานเพียง180วันนับตั้งแต่วันที่เครดิตเข้าระบบ
ด้วยความโลภและความบ้าเที่ยวจึงเลือกข้อ1 หาวันลาให้ทัน
แต่.... ปัญหาคือ เราบินกลับจาก Bali-BKK ซึ่งเป็นการเดินทางไป-กลับคนละเส้นทาง (BKK-Surabaya / Bali-BKK) และเส้นทางนี้ยังเปิดบินปกติ!
ตั๋วขาไปเลื่อนจากมกราคม 2017 เป็น กรกฎาคม 2016 ได้แล้ว แต่ขากลับยังเป็นกุมภาพันธ์ 2017 อยู่เลย ใครจะไปเที่ยวนานขนาดนั้น!! 5555 เลยโทรหาทาง Call Centre ขอให้เลื่อนตั๋วขากลับให้ ทาง Call Centre จึงแนะนำให้กรอก E-Form (การเขียนคำร้องออนไลน์) ซึ่งเป็นวิธีเดียวที่จะติดต่อกับ AirAsia Indonesia ได้ และต้องรอ 7-14 วันทำการ! รอแล้วรอเล่า ทั้งโทร ทั้งรอเมลล์ คุยกันหลายรอบมาก ทุกรอบก็คือ Call Centre บอกว่าทำอะไรไม่ได้ต้องรอ Airasia Indonesia อย่างเดียว
สุดท้ายก่อนบินประมาน 5 วันมีอีเมลล์ส่ง Itinerary ตั๋วขากลับมาให้พร้อมวันที่ใหม่ น้ำตาแทบไหล เกือบต้องซื้อตั๋วกลับใหม่แล้ว รอดค่ะ รอด!!
สำหรับทริปนี้ขอแบ่งเป็น 2 Part นะคะ Part1 เป็นโซนภูเขา และ Part2 เป็นโซนทะเล สำหรับโพสท์นี้จะเป็นเรื่องของภูเขา Bromo กับ Kawah Ijen ค่ะ
เวลา 3 คืน 3 วันอันน้อยนิด (แต่รู้สึกเหมือนนานมาก) สำหรับทริปภูเขาของเรานั้น ได้จ้าง Private Guide ตามที่เพื่อนๆแนะนำ เนื่องจากราคาไม่ได้แพงกว่าไปเองเท่าไหร่ และค่อนข้างจะเซฟเพราะไกด์ดูแลดีมาก การเดินทางก็สะดวกมากเพราะมีรถยนต์ส่วนตัว สามารถเอากระเป๋าเสื้อผ้าและของทุกสิ่งอย่างยัดไว้บนรถได้เลย รายจ่ายก็ไม่จุกจิกเพราะค่าทัวร์ Cover ทุกอย่างไว้หมดแล้วยกเว้นแค่ค่าอาหาร
แนะนำกันก่อน ทัวร์ที่ไปชื่อ Hadi Navigator นะคะ บริหารโดยพ่อหนุ่มอินโดชื่อ Hadi ที่เคยทำอยู่บริษัททัวร์ชื่อดังแล้วออกมาเปิดเอง และน้องสาวของเขาที่เป็นไกด์ของเราในครั้งนี้ ชื่อว่า Jean และมีน้องชายอีกคนคอยดูแลอีกกรุ๊ป เรียกได้ว่าเป็น Family Business ของแท้
ผู้ร่วมผจญภัยครั้งนี้ นอกจากแพทและเจนแล้ว ก็มีอีกเจน (Jean) ที่เป็นไกด์(ทริปนี้มี2เจนเลยทีเดียว) และ Mr.Yes No OK Thank you เป็นคนขับหน้าโหดแต่ใจดี (Jean บอกว่าชื่อคนขับรถเรียกยาก และนางพูดภาษาอังกฤษได้แค่นี้ เลยตั้งให้นางใหม่)
.
.
.
------- Mt.Bromo
วันแรกคือวันที่ 15 กค. เครื่องลงสนามบิน Surabaya Juanda International Airport ประมาณ 2 ทุ่ม Jean ก็มารับที่สนามบิน และพาไปทานอาหารมื้อแรก Jean บอกว่ามา Surabaya ต้องกินสะเต๊ะแต่สุดท้ายไปแล้วร้านปิดจ้า!! Jean เลยพาไปโดน Street Food แทน มื้อแรก Play Save ไว้ก่อนเพราะก่อนมามีคนเตือนเยอะว่าอาหารที่อินโดไม่อร่อย เลยสั่งไก่ทอดและปลาทอดที่หน้าตาเหมือนปลาทอดสามรส เห้ย!! เปิดมื้อแรกมาอย่างอร่อยอ่ะ!! ถึงกับเบิ้ลไก่ทอดอีกจาน
หลังจากกินข้าวเย็นกันเสร็จ ประมาน 5 ทุ่มกว่าก็นั่งรถพุ่งตรงไปจุดชมวิว Mt.Bromo เพื่อดูวิวพระอาทิตย์ขึ้นและภูเขาไฟ Bromo ช่วงประมาณเกือบตี3 แวะเปลี่ยนจากรถตู้ไปเป็นรถ Jeep เพราะ Jean บอกว่ารัฐบาลอนุญาตให้แค่รถ Jeep ขึ้นเท่านั้น
ซึ่งก็มาแวะเปลี่ยนรถที่บ้านของคนขับรถ Jeep ไกด์ก็บอกว่าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในบ้านได้เลย ความเด๋อของเราคือ คิดว่าไม่หนาวมาก เตรียมมาแค่คอเต่าแคชเมียร์ตัวเดียวก็น่าจะพอ ไกด์ทำหน้าช็อค นางเลยไปขอยืมแจ็คเกตคนขับรถมาให้ รอดตายไปเพราะข้างบนมันหนาวจริงๆ อากาศประมาน10องศา ประทับใจที่เขาเป็นห่วงเรา ไม่ต้องไปเสียเงินเช่าเสื้อข้างบน
เป็นข้อดีที่เราจ้างไกด์ ได้เรียนรู้อะไรจากคนท้องถิ่นดี ตอนขับ Jeep ขึ้นเขา เจอแก๊งมาเฟียรถ Jeep ตลอดทางให้จอดเช่า Jeep จากเขา คือโดยปกติเขาเป็นเจ้าใหญ่ที่นักท่องเที่ยวต้องใช้บริการ ไกด์เราก็บอกว่า ให้ Stay Silent นะ ไกด์จะบอกเขาว่าพาเพื่อนมา มีรถแล้ว สุดท้ายผ่านมาได้ปกติ
ประมาณตี 3.30 ขับรถมาถึงจุดที่ต้องลงจากรถแล้วเดินต่อขึ้นไปเองเพื่อดูพระอาทิตย์ขึ้น จุดชมวิวหลักๆจะมีอยู่ทั้งหมด 3 ที่ ไล่ระดับตามความสูง Jean เห็นพวกเราพกกล้องมาน่าจะชอบถ่ายรูปเลยพาไปอันสูงสุดชื่อว่า Penankalan 1 เดินอยู่ประมาน 30 นาทีก็ถึงละ คำพูดติดปากของ Jean และ Hadi คือ สบายๆ ชิวๆ (นางพูดเป็นภาษาไทยด้วยนะ) โปรแกรมสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการของลูกค้า นางพามาจองที่ยืนถ่ายรูปตั้งแต่ตี 4 และให้คำแนะนำดีๆมากมาย พวกเรา 3 คนยืนหนาวดูดาวจองที่กันไปสวยๆ ตี 5 คนเริ่มแน่น เริ่มโดนเบียด จนตี 5.30 พระอาทิตย์เริ่มขึ้น วันนี้หมอกลงนาจา เลยอดเห็นแบบพระอาทิตย์สาดแสง เห็นเป็นวิวหมอกหนาๆแทน ซึ่งไกด์บอกว่านักท่องเที่ยวบางคนที่เป็นช่างภาพโปรจะมาอยู่ที่โบรโม่อย่างน้อย 3 วัน เพื่ือรอวันที่ไม่มีหมอกและperfect spot
จากรูปจะเห็นควันภูเขาไฟสีขาว แปลว่าภูเขาไฟ Active นะ แต่ว่ายังไปได้อยู่ ไม่อันตราย ถ้าวันไหนควันสีดำนั่นแหละคืออันตราย!
หลังจากดูวิวภูเขาไฟจากด้านบนกันเรียบร้อย เราก็นั่งรถ Jeep ผ่าน Sea Sand Bromo พี่ Jean ก็บอกเลยว่า ยูอยากหยุดถ่ายตรงไหนบอกได้เลยนะ เราก็หยุดถ่ายบน Jeep กันตามภาพค่ะ ชิคๆ
จุดหมายต่อไปคือ Bromo Crater นั่นก็คือการขึ้นไปดูปากปล่องภูเขาไฟ โดยมีม้าไว้บริการให้ขี่จากจุดจอดรถไปถึงทางขึ้นที่เป็นบันได จากนั้นค่อยเดินขึ้นเอง รู้สึกผิดนิดหน่อยสงสารน้องม้า คงหนักน่าดู แต่ถ้าเดินเองน่าจะต้องเสียเวลาอย่างน้อยประมาน 30-40 นาที ยังไม่รวมที่ต้องเดินขึ้นปากปล่องอีก
เดินขึ้น Bromo Crater ไม่ง่ายอย่างที่คิด มีบันไดทั้งหมดประมาน 240 ขั้น และเป็นทางที่ค่อนข้างชันมาก พื้นเป็นเหมือนเขม่าควันผงๆทับถมกันเรื่อยๆจนเป็นพื้นแบบแทบจะเป็นสไลเดอร์ ทางค่อนข้างจะลื่น นิ่ม และฝุ่นเยอะพอสมควร แพทขึ้นไปนี่ถึงกับขาสั่น แต่วิวรอบๆสวยมากจริงๆ คุ้มค่า
หลังจากลงมาพี่คนขับก็พาเราไปดู Savannah หรือ Teletubbies Hills ค่ะ เป็นเนินเขาเขียวๆ เหมือนในเรื่องเทเลทับบี้ ให้อารมณ์สวิสเบาๆ เราก็ไปแวะเดินเล่นกันแปปนึง และก็กินก๋วยเตี๋ยวพื้นเมือง
หลังจากนั้นพี่คนขับรถ Jeep ก็มาส่งเรากลับไปเปลี่ยนเป็นรถตู้เหมือนเดิม และมีเซอร์ไพรซ์ค่ะ! ภรรยาพี่คนขับรถ Jeep เขาทำข้าวเที่ยงเตรียมไว้ให้เรา ซึ่งอันนี้ไม่ได้อยู่ในค่าทัวร์นะ เขาทำให้ด้วยใจ รู้สึกอบอุ่นเป็นกันเองมาก
จุดหมายต่อไปคือ Mada Karipura Waterfall ณ จุดๆนี้ต้องเตรียมเปียก เลยเปลี่ยนรองเท้าผ้าใบเป็นรองเท้ายางแทน อย่าลืมเปลี่ยนเป็นกางเกงขาสั้นและเตรียมเสื้อกันฝนไปด้วยนะ เพราะถ้าไม่มีเสื้อกันฝนจะเปียกชุ่มเลย จะทำให้เดินทางต่อลำบาก เพราะขนาดแพทใส่เสื้อกันฝนยังเปียกๆเลย แต่ถ้าใครไม่ได้เตรียมเสื้อกันฝนมาเขาก็มีให้ซื้ออยู่บริเวณโดยรอบ
พี่ Jean ก็ส่งต่อเราให้กับไกด์ท้องถิ่นซึ่งทำหน้าที่ดูแลนักท่องเที่ยวอยู่ภายในน้ำตก ซึ่งดูแลแพทดีมากกก แพทเกิดรองเท้าขาด เขาก็เอาของเขามาให้ เพราะว่าน้ำตกมันจะลื่นมากและหินเยอะ ถ้าไม่ใส่รองเท้าที่เหมาะสมอาจจะลื่นล้มหรือเจ็บตัวได้ เขาบอกเขาเดินจนชินแล้วเขาเลยเดินเท้าเปล่าเอาค่ะ ประทับใจอีกแล้ว ทิปให้รัวๆค่ะ 55555
ประทับใจน้ำตกที่นี่มาก ถือว่าเป็นน้ำตกที่ชอบที่สุดเลยก็ว่าได้ จากจุดจอดรถเราต้องนั่งมอเตอร์ไซด์ไปลงที่จุดทางเข้าที่สอง ซึ่งถ้าเดินเองจะเสียเวลามากๆ (อย่างน้อย 20-30 นาที) และจากจุดที่ลงรถมอเตอร์ไซด์ต้องเดินเข้าไปน้ำตกเองอีกประมาน 30 นาที ทางเดินเข้าไปน้ำตกก็จะให้อารมณ์แบบ Adventure หน่อยๆ เป็นสะพานยาวสุดสาย วิวข้างทางก็คือต้นไม้ ลำธาร ธรรมชาติรัวๆ พอถึงน้ำตกก็มีการลุยน้ำ ปีนป่ายหิน เปียกกันไปหมด แต่วิวสวยยยมากกก ดีใจที่ได้มา สนุกดี
.
.
.
------- Kawah Ijen
หลังจากนั้นก็มุ่งหน้าไป Ijen เลยค่ะ ระหว่างทางแวะทานข้าวเย็น Jean ก็พาไปโดน Street Food อีกแล้ว คราวนี้เป็นร้านสะเต๊ะ อร่อยอีกแล้ววว สั่งสะเต๊ะไก่มาลอง ตอนแรกหวั่นๆเพราะซอสที่ราดมาสีน้ำตาลจนเกือบดำ ต่างกับบ้านเราลิบลับ แต่พอลองชิม เห้ย!! เบิ้ลจานที่ 2 รัวๆ หลังจากอิ่มแล้วก็ออกเดินทางต่อ ตอนนั้นประมาน 1 ทุ่ม กำหนดการคือควรจะถึงโรงแรมที่ Ijen ประมาน 2 ทุ่ม แต่ถึงที่พักประมานเกือบ 5 ทุ่ม เพราะถนนที่นี่ไม่ดีและมืดมาก ทางน่ากลัว ขับเร็วไม่ได้
ที่อินโดเราสามารถแวะเข้าห้องน้ำได้ที่ร้านสะดวกซื้อเลย แพทใช้บริการอยู่เจ้าเดียวคือ Indomart เพราะไกด์พาไปแต่ยี่ห้อนี้ แต่ที่จริงมีร้านสะดวกซื้อหลายยี่ห้อ บ้านเรา 7-11 บางที่ขอเข้ายังไม่ให้เลย
ตามแผนแล้วจะต้องขึ้นไปดู Blue Fire กัน ต้องออกจากโรงแรมเดินทางกันตั้งแต่เที่ยงคืน...ซึ่ง...เดี๋ยวนะคะ เราถึงโรงแรมเกือบ 5 ทุ่ม น้ำยังไม่ได้อาบตั้งแต่บินจากไทยเช้าวันที่ 15 (ตอนนี้วันที่ 16 กลางคืนแล้วนะ) ที่ผ่านมาคือได้แค่นอนสัปหงกบนรถ ไม่ไหวจริงๆค่ะ เหนื่อยมาก เลยบอก Jean ว่าขอข้าม Blue Fire แล้วกันนะ ขอดูในรูปไปก่อน และปรับเวลาการออกเดินทางเป็น ตี 5 ค่ะ ขับรถมุ่งหน้าไป Trekking ที่ Kawah Ijen ซึ่งวิวระหว่างทางสวยมากกก เหมือนขับอยู่ใน Jurassic Park เลย มันเขียวไปหมด ต้นไม้สูงมากจนมองข้างบนแทบไม่เห็น แล้วหมอกลงด้วย มันสวยมากจริงๆ
เริ่มต้นการ Trekking เวลา 6.30 นะคะ ใช้เวลาเดินขึ้นไปถึงยอดค่อนข้างเร็วเพราะได้นอนเติมพลังมา เดินขึ้นไป 2 ชั่วโมงค่ะ โดยปกติถ้าช้าหน่อยก็อาจจะ 3 ชม. ระหว่างทางตอนเดินขึ้นเขาเจอคนไทยเยอะมาก จนคิดว่าเที่ยวอยู่เมืองไทยแล้ว 5555 อากาศเย็นๆสบายค่ะ ชิวๆไป พี่ไกด์ของที่นี่โดนเจนหลอกว่าแพทเป็นนางแบบ นางเลยดูแลดีมาก จับมือกลัวล้มใหญ่เลย 5555
พอถึงยอดเขา เราก็นั่งรอให้หมอกหายไปเพื่อดูวิว Green Lake รอกันอยู่กับฝรั่งหลายคน ผ่านไป 30 นาที ไกด์เริ่มเรียกให้ไปยืนรอตรงขอบ หมอกเริ่มหายแล้ว ทุกคนจากที่ตอนแรกนั่งหนาวกันอยู่นี่รีบกระโดดลุกมาเก็บภาพ หมอกก็ค่อยๆจางหายไปทีละเล็กทีละน้อย เราก็ถ่ายแค่รูป 2 รูปเล่นๆ กะว่าจะรอให้หมอกหายไปหมดก่อนจะได้เห็นชัดๆ สรุป! เปล่าเลย หมอกหายไปประมาณ 30 วิแล้วก็ Full turn กลับมาเยอะเหมือนเดิม 5555 แพทกับเจนนี่หงายเงิบเลย รอตั้งนานยังไม่ทันถ่ายรูปอะไรกันเท่าไหร่ แต่รูปถ่ายออกมายังไงก็ไม่สวยเท่าตาเห็นจริงๆ
เราเลยตัดสินใจนั่งรอต่ออีกซัก 30 นาทีละกัน สุดท้ายคนหายไปกันหมด ด้วยความท้อว่าคงจะมีหมอกทั้งวันแล้วล่ะวันนี้ จนใกล้ครบ 30 นาทีมีฝรั่งอีกกลุ่มเดินขึ้นมาจากข้างล่าง เราเลยถามเขาว่าข้างล่างมองเห็น Green Lake ชัดมั้ย หรือว่าหมอกบังหมดเหมือนกัน เขารีบอวดใหญ่เลย บอกว่าไปดูวิวจากข้างล่างสวยงามมาก ยูลงไปเลย เอารูปมาโชว์เรากันใหญ่ ก็เลยตัดสินใจบอกพี่ไกด์ว่า ไปกันค่ะ เราลงไปกันเถอะ แต่! แต่!! หลังจากที่ปีนป่าย ทุลักทุเลปีนลงก้อนหินลื่นๆชันๆอยู่ประมานครึ่งทาง เวนกรรม!!! ฝนตก!!! แล้วไกด์บอกว่าถ้าฝนตกจะอันตรายมากเพราะก๊าซจะลอยขึ้นที่สูงมาหาพวกเรา จะอันตรายถ้าสูดเข้าไปและจะแสบตา แล้วเป็นอย่างนั้นจริงๆ ฝนพึ่งจะตกแค่ปรอยๆกลิ่นก๊าซนี่ลอยมาฉุนมากกก แล้วแสบตา รีบปีนขึ้นหนีตายกันจ้าละหวั่น 5555 โคตรเหนื่อยเลย สุดท้ายรูปที่ได้มาเลยเป็นรูปที่ถ่ายช่วงกลางๆของทางลงไป Green Lake แต่แค่นี้ก็สวยประทับใจแล้วอ่ะ ชอบมาก!! จะกลับมาอีกพร้อมรูปที่ไม่มีหมอก
ระหว่างทางลง Green Lake จะสวนทางกับคนงานแบกก้อนซัลเฟอร์ตลอดทาง ก้อนที่เขาแบกกันก็ 70 โลบ้าง 40 โลบ้าง ทรหด อดทนกันมาก
ระหว่างทางเดินกลับลงจากเขามาที่จอดรถ สองข้างทางหมอกลงเยอะกว่าเดิมอีก ยิ่งสายหมอกก็ยิ่งเยอะแฮะ เป็นอีกบรรยากาศที่สวยงาม มัน Gloomy มากๆ ได้อารมณ์ไปอีกแบบ สวยดี
จริงๆสถานที่ต้องไปต่อคือ Kawah Warung ซึ่งเป็นเนินเขาเหมือนเทเลทับบี้ฮิลส์ เราเลยบอก Jean ว่าไม่ไปอ่ะ ข้ามโปรแกรมไปเลย 5555 Jean เลยพาไป Cagar Alam Kawah Ijen ซึ่งเป็นลำธารพิษ น้ำเป็นสีเหลืองซึ่งเป็นสีที่มาจากซัลเฟอร์นั่นเอง ถ้าผิวใคร Sensitive ห้ามโดนน้ำที่นี่เด็ดขาดไม่งั้นจะคันมากและผื่นขึ้น
หลังจากนั้นก็ไป Belawan Waterfall อยู่ไม่ไกลจาก Kawah Ijen เท่าไหร่ นั่งรถประมาน 20 นาที เป็นน้ำตกเล็กๆแต่น้ำแรง ให้อารมณ์ Tarzan มากๆ ลองไปดูในรูปได้
และแล้วเราก็ข้ามโปรแกรมที่เหลือทั้งหมด 5555 เพราะว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของการหยุดยาวของชาวมุสลิม ซึ่งก็คือประชากร 99% ของทั้งประเทศ นึกภาพตามค่ะ รถติดเหมือนเวลาคนกลับมาจากเทศกาลสงกรานต์ ปีใหม่ที่เมืองไทยเลย แล้วก่อนมาอินโดพึ่งอ่านข่าวว่ามีคนรถติดจนตายที่อินโดเพราะติดอยู่ที่เดิมนานกว่า24ชม. ถาม Jean นางก็บอกว่าเป็นเรื่องจริงพึ่งเกิดขึ้นเลย จึงขอมุ่งหน้ากลับ Surabaya เลยละกัน แล้วถ้าถึงเร็วเราจะไปนั่งจิบ Lemon Bintang ที่ย่าน Sutos ชิวๆเพลินๆแทน
แต่!!!!!!!!!!
ปรากฏว่า รถติดแบบ D#$%$^$&%^*&ITYHE$$%#$%&(&^%$#@ คือมันไม่ขยับเลยจริงๆ
.
.
.
------- ธุรกิจ Short Cut
แต่แล้วเราก็ได้เรียนรู้ Culture ใหม่ระหว่างรถติด นั่นคือธุรกิจ Shortcut หรือธุรกิจบริการทางลัดนั่นเอง ซึ่งคนขับรถเราขับรถหวาดเสียวแต่รวดเร็วและขับเก่งมาก ก็ยังพ่ายแพ้ต่อความรถติด เลยต้องหันไปใช้บริการทางลัดนี้ มันเป็นธุรกิจฉาบฉวยที่เกิดขึ้นเวลารถติด คือข้างทางจะมีชาวบ้านทั้งเด็กและผู้ใหญ่มายืนโบกตลอดทาง บอกว่านี้ทางลัดทะลุออกได้ คนขับรถก้จะเปิดหน้าต่างขอบคุณและให้เงินไป
เราก็ถาม Jean ว่า เอ๊ะ! มันยังไง ทำไมถึงต้องให้เงินทุกครั้งที่เปิดกระจกถามทางหรือเวลามีคนมาโบก ได้คำตอบมาว่า ชาวอินโดเชื่อว่าการให้เงินนี้ เป็นสินน้ำใจที่ให้กันเป็นเรื่องปกติ กลับรถแล้วมีคนโบกก็ให้เงินไป บอกทางก็ให้ โบกรถก็ให้ เป็นเรื่องปกติเป็นมารยาทของเขา เราเลยถาม Jean ว่าแล้วถ้าไม่ให้หล่ะ Jean บอกว่าต้องให้เพราะไม่อยากมีปัญหา จ่ายเพื่อความปลอดภัยเพราะบางครั้งถ้าไม่จ่ายเขาอาจจะโทรไปบอกคนข้างหน้าได้ว่ารถคันนี้ไม่จ่าย และเงินที่จ่ายให้ก็จำนวนไม่เยอะมาก แต่ต้องให้ถี่ๆ (ให้ประมาณ 2,000-4,000 RPD หรือ 6-12 บาท)
สรุปนั่งรถกันยาวๆกว่าจะกลับจาก Ijen ถึง Surabaya ก็เกือบตี 1 แล้ว บ๊ายบายแพลนนั่งชิวจิบเบียร์ของเรา เข้าที่พักปุ๊บ หลับยาวๆเลย พร้อมตื่นเช้าบินไป Lombok ต่อ! เจอกันโพสท์หน้า Lombok, Gili, Bali ค่ะ
.
.
.
------- Budget
Tour
- ค่าทัวร์ 3 วัน 7,765,000 IDR หรือประมาน 21,280 บาท (ราคารวม2คนนะคะ ถ้าไปกันประมาน4คนราคาจะถูกลงเพราะมีคนหารค่าเช่ารถเพิ่มขึ้น อาจจะตกคนละประมาน7-8พันบาท)
Food
- ค่าอาหารตกมื้อละ 50-100 บาท/คนเท่านั้น! ค่าครองชีพที่นี่ถูกพอๆกับที่ไทยนะ 1 มื้อแพทกับเจนกินกัน 2-4 จานเพราะอยากลองอาหารพื้นเมืองหลายอย่าง ค่าอาหารเลยเยอะ 55555
SIM Card
- ซิมการ์ด 2 GB 60,000 IDR หรือประมาน 165 บาท ใช้ได้ตลอดจนจบทริปแต่โทรไม่ได้นะ เล่นเน็ตได้อย่างเดียว
Others
-ค่าโปสการ์ดบนโบรโม่ 5,000 IDR/ใบ ประมาน 14 บาท ถ้าใครไปโบรโม่แล้วอยากซื้อโปสการ์ด ให้เดินลงมาซื้อข้างล่างตรงก่อนถึงที่จอดรถ เพราะราคาข้างบน 10,000IDR/ใบ
-ส่วนพวกค่าของกินเล่น น้ำดื่มในร้านสะดวกซื้อก็พอๆกับที่ไทย ราคา 10-20 บาท
「ซิมการ์ด 7-11」的推薦目錄:
- 關於ซิมการ์ด 7-11 在 Teerada - travel & lifestyle Facebook 的最讚貼文
- 關於ซิมการ์ด 7-11 在 ซิมทรู Sim True 7-11 ฟรี แกะซอง เริ่มใช้งาน - YouTube 的評價
- 關於ซิมการ์ด 7-11 在 เปิดซิมทรูเซเว่น ได้มากกว่า รับคูปองเงินสดและคูปองแลกสินค้าฟรีที่เซ ... 的評價
- 關於ซิมการ์ด 7-11 在 เปิดซิมทรูเซเว่น ได้มากกว่า‼ • ดูฟรี!... - 7-Eleven Thailand 的評價
- 關於ซิมการ์ด 7-11 在 โปรโมชั่น 7-11 กับ PTT Station - PttOR 的評價
ซิมการ์ด 7-11 在 เปิดซิมทรูเซเว่น ได้มากกว่า รับคูปองเงินสดและคูปองแลกสินค้าฟรีที่เซ ... 的推薦與評價
เปิด ซิ มทรูเซเว่น ได้มากกว่า...เติมแพ็กเน็ต 200 บ. รับทันที! คูปองเงินสดรวม 600 บาท* ใช้ช้อปของฟรี ที่เซเว่น รับเพิ่ม! ... <看更多>
ซิมการ์ด 7-11 在 เปิดซิมทรูเซเว่น ได้มากกว่า‼ • ดูฟรี!... - 7-Eleven Thailand 的推薦與評價
ซิม ตัวนี้ สมัครโปรเน็ต 4mbps 30GB. เดือนละ 100 ได้มั้ยครับ. 1 mo Report. Te Supalai, profile picture. ... <看更多>
ซิมการ์ด 7-11 在 ซิมทรู Sim True 7-11 ฟรี แกะซอง เริ่มใช้งาน - YouTube 的推薦與評價
ฟรี # ซิ มทรู #ในเซเว่น # 7-11 # ซิ มทรู #Sim #True # 7-11 ฟรี #แกะซอง เริ่มใช้งานฟรี ซิ มทรู ในเซเว่น 7-11 #ซื้อ ซิ มทรู 7-11 ล่าสุด ... ... <看更多>